ฟังคุณฐิตินาถ กับหลวงพ่อปราโมทย์ สอนเรื่องแยกทุกข์กับจิตคล้ายกัน (๒๘.)

มื้อนี้ข้าว 2 ช้อน
แกงผักเสี้ยวผักหละใส่ไข่มดแดง แคบหมูนุ่ม ปลาป่น ไส้อั่ว


[พาคุณแม่เข้าโรงพยาบาล 2 ครั้งในรอบสัปดาห์]
อังคารเข้าโรงพยาบาล
คุณแม่ล้มในสวน ลุกจากรถเข็นก็ล้มเลย
พาไปทำแผลถลอก
มีดินฝังในแผล ไม่กล้าทำแผลเอง กลัวอักเสบ
หมอจับ x-ray 2 รอบ กลัวแตก กลัวร้าว
พักนี้คุณแม่กล้าขึ้นมาก แอบลุกเดิน
พูดอะไรผิดหู ก็อยากไปนอกบ้าน ใจน้อยเก่งมาก
ชมก็ว่าไม่เชื่อ ห้ามก็ไม่ชอบ ไม่ทำใจเท่าไร
พักนี้ จึงต้องเก็บปากเก็บคำ
พอคิดว่าตัวเองแข็งแรง
ก็อยากเคลื่อนที่เอง นั่งทิ้งตัวกระแทกบ่อย ระวังน้อยลง
จนกระทั่ง เช้าวันนี้ (อาทิตย์)
คุณแม่บ่นว่ามีเศษแก้วฝังในข้อสะโพกทั้งสองข้าง
ขอไปหาหมอ ให้หมอคีบแก้วที่แตกฝังในข้อสะโพกออก
ผมก็พยายามอธิบายไปพักหนึ่ง
เพราะท่านจำอะไรไม่ค่อยได้
แต่สุดท้าย แม่ตอบมาสั้น ๆ
ว่า "จะไปให้หมอคีบแก้วออกรึยัง"

[ไปหาคุณหมอ]
คุณหมอใจดี บอกว่าพ่อของท่านก็แปดสิบกว่าล่ะ
แล้วก็ช่วยคลำหารอยที่เศษแก้วจะเข้าไป
แล้วบอกว่าคลำแล้ว ไม่พบเศษแก้วนะ
จากนั้นก็ให้ยาบำรุง
เพราะน้ำหนักน้อย กล้ามเนื้อน้อย ไม่มีแรงเดิน
แม่ดูไม่ค่อยสบายใจ และเงียบหลังกลับบ้าน
ถึงบ้านก็นอนตลอด
ตกเย็นนี้ ก็เงียบไม่พูดไม่จา
ขยับตัวไม่ค่อยได้เหมือนเคย สงสัยสมองสั่งน้อยลง
ทานข้าวก็ไม่ค่อยได้ เคี้ยวแล้วก็คายตลอด
เสริมด้วยสับปะรด และอาหารเสริม
ปรับตัวไปตามอาการ
เปลี่ยนบทบาทไปตามที่แม่ต้องการ
ไม่กล้าขัดล่ะ ไม่อยากให้โกรธ หรือน้อยใจ

[ผมฟังธรรม ก็อยากให้แม่ฟังด้วย]
ฟังทั้งคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง
และหลวงพ่อปราโมทย์ มีสิ่งที่เหมือนกัน
คือ ให้แยกทุกข์ กับจิตผู้รู้ออกจากกัน
แล้วปล่อยวางเหตุแห่งทุกข์ไปทีละเรื่อง
คุณอ้อยบอกให้มองไปที่ทุกข์
แล้วปล่อยวางทุกข์ไปทีละอย่าง
สรุปว่า ทั้งสองท่านสอนให้แยก
หากแยกทุกข์ออกจากการรับรู้ได้จริง
ก็จะปล่อยวางทุกข์ได้จริง
เคยฟังว่า
คนเข้าวัด ก็จะแยกทุกข์ได้
อยู่ในวัด จิตมีพลัง มีกำลังพอจะแยกทุกข์
แต่พอออกจากวัด ทุกข์ก็เข้าไปในจิตเหมือนเดิม
เหมือนต้นหญ้าที่ถูกหินทับ
หินก็เหมือนธรรมะ ทุกข์ก็เหมือนต้นหญ้า
เมื่อออกวัดไม่ยึดธรรมะ ไม่ฝึกจิตไว้ตลอดเวลา
เหมือนนำหินออก ต้นหญ้าก็เติบโตได้เหมือนเดิม
พระท่านถึงให้ปฏิบัติบ่อย ๆ ไม่ให้หญ้าโตได้
สรุปว่า
ต้องเปิดธรรมะให้ทั้งผมและคุณแม่ฟังบ่อย ๆ ละ

ความคิดเห็น