ความทรงจำ เดี๋ยวหายไป เดี๋ยวกลับมา (๓๗.)

เทคโนโลยีช่วยบันทึกอดีตไว้ได้

สมองคนเรามีศูนย์สั่งการ
ที่นี่หละควบคุมเรา

[เมื่อสมองถูกกระตุ้น]
เชื่อว่า
หากสมองได้รับการกระตุ้น
ก็จะทำงานได้ดี และทานข้าวได้
สามารถจำเรื่องราวได้ถูกต้อง
ครั้งหนึ่ง จะพาคุณแม่ไปหาหมอ 
คุณแม่ก็ตื่นเต้น
เช้านั้น คุณแม่คายข้าว แค่คำแรกคำเดียว
จากนั้นก็เคี้ยวและกลืนได้ปกติ
เมื่อใดที่มีเหตุการณ์มากระตุ้นสมอง
ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกใด เช่น 
ความดีใจ ความโกรธ ความตกใจ ความหวัง
สรุปว่า
สมองที่ได้รับการกระตุ้น ในระดับที่มากพอ
ก็จะส่งผลให้ความทรงจำกลับมา
ครั้งหนึ่ง ผลการกระตุ้น ทำให้คุณแม่จำ
ว่า ผู้ที่ดูแลคุณแม่อยู่ คือ ลูกชายคนเดียว
ซึ่งถูกต้อง
ไม่จำว่าเป็นลูกตัวเล็ก
ที่พร่ำเรียกหาว่า หายไปไหน
แล้วออกถามหาลูกตัวเล็ก ๆ จากใครต่อใคร
แสดงว่า สมอง ที่เสื่อมถอยไปนั้น
มีความจำบางส่วน ที่คิดว่าหายไปแล้ว 
แต่ไม่ได้หายไปถาวร
แค่หลงลืม กลับมาทำงานได้อีกในบางเวลา
การลืมว่าผมคือ ลูกชาย ยังไม่ถาวร
หลังจำได้ 
ผมก็ถามย้ำเช้าเย็น
นี่ผ่านมา 2 วัน 
คุณแม่ยังจำได้ว่าผม คือ ลูกชาย
พอจำได้ ผมก็บันทึกคลิปวิดีโอ
ให้ท่านพูดว่า 
ผมลูกใคร และเขียนลงกระดาษ
ด้วยลายมือของท่าน คราวหน้าลืมอีก
ผมก็จะหยิบมาเปิดให้ดูอีกครั้ง
การทำงานของสมอง
ไม่มีอะไรแน่นอน แปรเปลี่ยนได้เสมอ
บางวันง่วงนอน จะหลับมากหน่อย
บางวันสมองตื่นตัว ไม่ยอมนอนก็บ่อยครั้ง
คิดนู่นนี่เยอะไปหมด
วันนี้ทานข้าวเช้าเสร็จก็นอนพักแล้ว

[เรื่องที่ไม่น่าลืม]
มนุษย์เรา มีเรื่องมากมายผ่านเข้ามา
เรื่องมากมายที่ไม่น่าลืม ก็มีเยอะ
เช่น ลืมว่าผมเป็นลูก แต่ท่านก็ลืม
เมื่อถึงเวลาก็คงเป็นกับทุกคน ไม่มีเว้น
นั่นก็จะลืมว่า
ผมแต่งงานมีลูก แล้วท่านก็มีหลานแล้ว
การพูดถึงหลาน
ท่านก็คิดว่าเป็นลูกหลานของคนอื่น
เพราะลูกของท่านยังตัวเล็ก นอนบนลานบ้าน
บางวันไปพบน้องของคุณแม่
ผมก็จะยกมือไหว้คุณน้าทุกครั้ง
ระยะหลัง
ท่านก็เหมือนจะลืมว่าน้าของผม 
คือ น้องของท่าน
ยกมือไหว้ตามผมทุกครั้ง รู้สึกไม่ชิน
แปลกตากันไปทุกทีเช่นกัน

[ดูหนังเรื่องความทรงจำ]
ได้ภาพยนตร์
เรื่อง inside out กับ พรจากฟ้า
เล่าเรื่องการควบคุมร่างกาย 
และปัญหาความจำจากโรคอัลไซเมอร์
เห็นแล้วก็เหมือนเรื่องของตนเอง
ดูหนังแล้วย้อนดูตน
แต่พอคุณแม่มีปัญหา
จากโรคอัลไซเมอร์ บวกพาร์กินสัน
รับรู้เลยว่ามีรายละเอียดมากมาย
กว่าที่เห็นในภาพยนตร์ 
เพราะนี่คือเรื่องจริง ในครอบครัวของเรา
ความทรงจำ
มีเรื่องของ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
พักนี้พยายามพูดคุยกับคุณแม่ 
ว่า
สิ่งที่อยู่ในกะละมัง เตรียมไว้คายอาหาร
คือ อดีต
สิ่งที่อยู่ในปาก ต้องกลืนลงไปให้ได้
คือ ปัจจุบัน 
สิ่งที่อยู่ในจาน หรือของหวานหลังอาหาร 
คือ อนาคต
ของอร่อยจะเตรียมไว้ 
แต่ไม่ให้เห็นก่อนทานข้าว นำมาทีละรายการ
คุณแม่มักจะติอาหารว่า
เค็มไป เปรี้ยวไป เผ็ดไป หวานไป จืดไป
แต่ผลของการติ คือ กลืนไม่ลง
ปัญหานี้เกิดบ่อยในช่วงเช้า
สิ่งที่ทานได้มักเป็นของหวาน 
แต่บางรายการก็คายออก
ที่คาย เช่น เผือกกวนบ่นว่าเหนียว
บวชชีกล้วยให้ไป 4 ชิ้น ก็กลืนได้ 2 ชิ้น
ปกติจะไม่ปลุกท่านตื่น 
ยกเว้นท่านขอตื่นเองตั้งแต่เจ็ดโมง
ระยะหลังจะนอนพักนาน ๆ
ให้สมองพักผ่อน 
ก็มักจะเริ่มทานข้าว 9 โมงกว่า
ปล่อยให้พัก คิดว่าจะมีสติดีขึ้นเมื่อตื่นนอน 
ก็ยังมีปัญหากลืนอยู่ดี
ก็ต้องปรับรายการอาหารกัน 
แบบมื้อต่อมื้อ
พูดคุยด้วย กลืนได้แบบคำต่อคำ 
ลุ่นว่ากลืนได้ไหม แล้วคำต่อไปจะเป็นอย่างไร
ปกติคำแรกจะกลืนไม่ลง 
ส่วนคำต่อไปก็ต้องลุ้น

ความคิดเห็น